คริปโตคืออะไร ? คริปโต (Cryptocurrency) หรือสกุลเงินดิจิทัลถือเป็นสินทรัพย์อีกประเภทหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน เนื่องจากสามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงได้ในเวลาอันสั้น แต่อย่างไรก็ตามก็ถือว่ามีความเสี่ยงสูงมากเช่นเดียวกัน
คริปโต (Cryptocurrency) หรือสกุลเงินดิจิทัลกลายเป็นสินทรัพย์น้องใหม่ เป็นทางเลือกสำหรับนักลงทุนที่ต้องการหาแหล่งลงทุนใหม่ๆ ที่ได้ผลตอบแทนสูง ในโลกของคริปโตนั้น นักลงทุนที่โชคดีและเก่งฉกาจอาจจะทำกำไรได้เป็น 1,000% ในชั่วข้ามคืน ในทางกลับกันก็อาจจะขาดทุนกว่า 1,000% ได้ในพริบตาเช่นเดียวกัน เรียกได้ว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงที่สุดสินทรัพย์หนึ่งเลยก็ว่าได้
ด้วยผลตอบแทนที่สูงยั่วตายั่วใจ ความผันผวนที่รุนแรงเหมือนพายุ รวมถึงพื้นฐานของธุรกิจที่อยู่ในโลกคริปโตที่ยังทำให้นักลงทุนชื่อดังในวงการหลายท่านยังเคลือบแคลงใจ จึงทำให้คริปโตเป็นหลักทรัพย์ที่ยังเป็นหัวข้อให้ถกเถียงกันอยู่ทุกวันนี้ว่าจะเป็นหนึ่งในแชร์ลูกโซ่ครั้งใหญ่ของโลกการลงทุนอีกครั้งหนึ่งหรือไม่
คริปโตคืออะไร ต้นกำเนิดคริปโตมาจากไหน ?
สกุลเงินคริปโตสกุลเงินแรกที่เกิดขึ้นมาบนโลกก็คือบิตคอยน์(Bitcoin) โดยบุคคลนิรนามคนหนึ่งที่ใช้นามแฝงว่า Satoshi Nakamoto ทำการเผยแพร่เอกสารฉบับหนึ่งชื่อว่า ‘Bitcoin: a Peer-to-Peer Electronic Cash System’ ในปี 2008 โดยเอกสารนี้ก็คือ Whitepaper ของบิตคอยน์ อธิบายการทำงานของบิตคอยน์บนเครือข่ายที่เรียกว่าบล็อกเชน (Blockchain) อย่างละเอียด
หลังจากที่เอกสารฉบับดังกล่าวได้รับการเผยแพร่ ระบบบล็อกเชนของบิตคอยน์ก็เกิดขึ้นจริงๆ ในปี 2009 โดยโปรแกรมเมอร์กลุ่มหนึ่งที่เชื่อกันว่าได้ร่วมงานโดยตรงกับ Satoshi Nakamoto

คริปโตคืออะไร? มีประเภทใดบ้าง
ก่อนจะฟันธงว่าคริปโตเป็นแชร์ลูกโซ่หรือไม่ เราอาจจะต้องศึกษาคริปโตแต่ละประเภทเสียก่อน แก่นของคริปโตก็คือการผสมผสานเทคโนโลยีสมัยใหม่ 2 เทคโนโลยีเข้าด้วยกันก็คือการเข้ารหัส (Cryptographic) และบล็อกเชน (Blockchain) โดยคริปโตถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อช่วยให้การทำธุรกรรมการเงินมีความสะดวกและง่ายดายมากขึ้น สามารถทำธุรกรรมข้ามประเทศได้ในค่าธรรมเนียมที่ถูกในเวลาอันรวดเร็วโดยยังคงความเป็นส่วนตัวและปลอดภัยเอาไว้ ไม่จำเป็นต้องมีตัวกลางใดๆ หรือที่เรียกว่า Peer to Peer นี้จึงเป็นที่มาว่าทำไมคริปโตซึ่งแท้จริงแล้วเป็นเทคโนโลยีรูปแบบหนึ่งจึงถูกจำกัดความว่าเป็นสกุลเงินดิจิทัล
หลังจากบิตคอยน์ถือกำเนิดขึ้น ก็มีการพัฒนาและสร้างสกุลเงินอื่นๆ ตามมาอีกมากมายในจุดประสงค์ที่แตกต่างจากบิตคอยน์เล็กน้อยตามความตั้งใจของผู้สร้าง โดยเราอาจจะสามารถจำแนกประเภทของคริปโตได้ตามนี้
- Store of value สกุลเงินที่รักษามูลค่าและสู้กับเงินเฟ้อ เช่น Bitcoin (BTC) Litecoin (LTC) และ Bitcoin Cash (BCH) เป็นต้น
- Smart contract สกุลเงินที่จะกำหนดเงื่อนไขของการทำงานของสกุลเงินดิจิทัลเอาไว้ล่วงหน้า เช่น Ethereum (ETH) Cardano (ADA) และ Solana (SOL) เป็นต้น
- Stablecoin สกุลเงินที่มีมูลค่าคงที่ ส่วนมากจะตรึงกับค่าเงินเอาไว้แบบ 1:1 เช่น USDT DAI และ USDC เป็นต้น
- DeFi ย่อมาจาก Decentralize Finance ใช้เป็นเหมือนโทเค็นเพื่อใช้ทำธุรกรรมการเงินบนแพลตฟอร์มการเงินแบบกระจายศูนย์ เช่น SushiSwap (SUSHI) Uniswap (UNI) และ Pancakeswap (CAKE) เป็นต้น
- Value Transfer สกุลเงินที่สร้างเพื่อการทำธุรกรรม โอนสินทรัพย์บนเครือข่ายโดยเฉพาะ เช่น XRP Stellar (XLM) หรือ OMG (OMG Network) เป็นต้น
โดยนอกจากสกุลเงินดิจิทัลประเภทดังกล่าวข้างต้นแล้ว อาจจะยังมีอีกหลายประเภทเกิดขึ้นใหม่ๆ เช่น GameFi ซึ่งเป็นโทเค็นเพื่อใช้ในเกมส์ที่อยู่บนระบบบล็อกเชน และเหรียญ Meme coin ที่เกิดขึ้นตามกระแสและราคามักจะถูกปั่นตามเจ้าในตลาด

คริปโตเป็นแชร์ลูกโซ่หรือไม่ มีมูลค่ายังไง
มูลค่าที่แท้จริงของคริปโตจะขึ้นอยู่กับประโยชน์ที่สกุลเงินคริปโตสกุลเงินนั้นๆ สร้างขึ้น รวมถึงอุปสงค์และอุปทานด้วย เราจะเห็นว่าคริปโตที่ถูกสร้างขึ้นมามีหลายประเภท ไม่ใช่เพียงแค่การทำธุรกรรมอย่างเดียว หากคริปโตสกุลไหนที่ได้รับความนิยม มีผู้ใช้จริง มีทีมพัฒนาที่โดดเด่นและมีร่วมงานและทำโปรเจคใหญ่ๆ อยู่เสมอ ราคาและมูลค่าของเหรียญก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วย ตามกฏของอุปสงค์และอุปทานนั่นเอง
บิตคอยน์เองก็ถือว่าเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่มีข้อถกเถียงมากที่สุดว่ามูลค่าที่แท้จริงอยู่ตรงไหนและจะกลายเป็นเหมือนยุคฟองสบู่ดอทคอมหรือไม่ ตัวบิตคอยน์เองถูกใช้ในการทำธุรกรรมทางการเงิน โดยไม่ผ่านตัวกลาง รวมถึงเจ้าของบัญชีไม่จำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลกับใครเพื่อที่จะสามารถสร้างบัญชีเพื่อทำการโอนถ่ายทรัพย์สิน ทำให้รัฐบาลไม่สามารถตรวจสอบได้
จุดเด่นอันแข็งแกร่งนี้ทำให้บิตคอยน์เป็นที่ชื่นชองบรรดาผู้ที่ทำธุรกิจสีเทาหรือผู้ที่ต้องการปกปิดตัวตนในการทำธุรกรรมและทำให้เกิดฐานผู้ใช้งานจริงขึ้นมา ประกอบกับบิตคอยน์ถูกสร้าง (เรียกว่าการขุดหรือ mining) ขึ้นมาอย่างยากเย็นผ่านคอมพิวเตอร์ที่มีกำลังประมวลผลสูงและท้ายที่สุดจะถูกสร้างขึ้นมาเพียงแค่ 21 ล้านเหรียญเท่านั้น ทำให้ผู้ที่มองเห็นมูลค่าของบิตคอยน์ในอนาคต (เมื่ออุปสงค์มีมากกว่าอุปทาน) พากันซื้อเก็บสกุลเงินคริปโตดังกล่าว ทำให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
คริปโตถูกจัดอยู่ในสินทรัพย์เสี่ยงที่นักลงทุนควรศึกษาคู่มือเทรดคริปโตและทำการบ้านอย่างหนัก เพราะว่าเทคโนโลยีที่หนุนหลังคริปโตยังถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่ใหม่มากๆ และยังมีการพัฒนาอยู่ นักลงทุนจึงต้องทำความเข้าใจพื้นฐานของเทคโนโลยีด้วย นอกเหนือจากพื้นฐานธุรกิจของบริษัทผู้พัฒนาคริปโต เพื่อให้สามารถลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย